 |
|
 |
|
 |
 |
 |
สวัสดีค่ะ
น้อง Yumi กลับมาอีกแล้วพร้อมกับความเชื่อแปลกๆจากทั่วทุกมุมโลก
ฉบับนี้ Yumi ก็ได้ไปเจอความเชื่อโบราณแปลกๆของชาวยุโรป
ซึ่งเป็นความเชื่อเกี่ยวกับอวัยวะต่างๆในร่างกาย ของคนเรา
เช่น ดวงตามือ นิ้วมือ เท้า และอื่นๆ น่าสนใจดีค่ะ
เรามาดูกันนะคะว่าเค้าเชื่อกันยังไง แล้วมันส่วนคล้ายกับของบ้านเราแค่ไหน |
|
|
 |
|
|
 |
|
 |
|
 |
ความเชื่อเกี่ยวกับดวงตา
ดวงตาคือหน้าต่าง เป็นการเชื่อมโยงระหว่างภายนอก และวิญญาณภายใน จึงเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่มีความสำคัญสูงมาก
(หากใช้ศัพท์วัยรุ่นไทยสมัยยุคก่อนๆก็คงต้องใช้คำว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ
ใช่มั้ยคะ) มีความเชื่อที่ไม่ดีๆหลายๆอย่าง เกี่ยวกับดวงตา เพราะถือว่าสิ่งชั่วร้ายจะสื่อสารออกมาได้ผ่านทางดวงตา
เช่น คนที่ตาไม่เท่ากัน หรือมีสีตา 2 ข้างไม่เหมือนกัน จะถือว่าเป็นดวงตาชั่วร้าย
หรือเป็นดวงตาของปีศาจ ผู้คนจะไม่อยากคบหาด้วยเพราะกลัวโดนจ้องมองโดยปีศาจที่ซ่อนอยู่ข้าง
ในเพราะจะทำให้เกิดความโชคร้ายกับตัวเองถ้าถูกจ้องโดยคนเหล่านี้ วิธีที่จะไล่ปีศาจไม่ให้เข้าใกล้ก็คือ
ใช้มือทำท่าไม้กางเขน ใส่คนที่มองมาหาเรา (Yumi ว่าคนสมัยก่อนงมงายไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย
แย่จัง) ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับโชคลางที่เกี่ยวกับดวงตาคือ ถ้าวันไหนคันตาข้างซ้าย
วันนั้นจะมีความโชคร้ายเกิดขึ้น แต่ถ้าหากคันตา ข้างขวา ก็จะมีความโชคดีเกิดขึ้น
(แต่ความเชื่อของคนไทยอย่างเราจะเป็น การกระตุกของตา ซึ่งมีคำพูดคล้องที่ใช้กันประจำคือ
ขวาร้าย ซ้ายดี คือวันไหนตาซ้ายกระตุก วันนั้นถึงจะโชคดี แต่ถ้าตาขวากระตุก
วันนั้นก็จะเกิดโชคร้าย ก็ถือว่าสลับกับของไทย เราพอดี) แล้วนี่ฝรั่งมาเมืองไทยจะเชื่ออันไหนดีล่ะ!
Yumi ว่าถ้าเกิดเค้ามาเที่ยวเมืองไทย ก็ให้ถือเป็น ขวาร้าย ซ้ายดี แต่ถ้ากลับ
บ้านไปเมื่อไหร่ก็ค่อยเปลี่ยนกลับเป็น ขวาดี ซ้ายร้าย ก็ละกัน |
 |
|
 |
|
 |
|
ความเชื่อเกี่ยวกับเท้า
ฝรั่งเค้าก็ไม่ได้ถือว่าเท้าเป็นสิ่งที่ต่ำ (ไม่เหมือนความเชื่อโบราณของบ้านเรา
ที่ห้ามยกเท้าขึ้นเหนือหัวผู้อื่น หรือห้ามเอาเท้าเหยียบ หนังสือ
เป็นต้น) เค้าเชื่อว่าเท้าคือร่างกายส่วนที่จะพาเราไปทุกที่ จึงมีความสำคัญไม่แพ้อวัยวะส่วนอื่นๆเลย
เรามาดูกันนะคะ ว่าเค้ามีความเชื่อยังไงเกี่ยวกับเท้าบ้าง
1. เชื่อกันว่า เด็กที่เกิดมามีนิ้วเท้ามากกว่า 10 นิ้ว จะเป็นเด็กที่โชคดี
เพราะมีความพิเศษตั้งแต่เกิด และจะเป็นคนที่มีโอกาส
เดินทาง และเห็นโลกได้มากกว่าคนธรรมดา
(ถ้าเป็นคนไทยคงได้เดินทางไปแทบทุกจังหวัดแน่เลย เพราะพ่อแม่จับไป
โชว์ตัวตามงานวัด)
2. ยังมีความเชื่อที่ว่าเด็กที่เกิดมาโดยเท้าออกมาจากท้องแม่ก่อน
เป็นเด็กที่มีความพิเศษมากกว่าคนอื่น จะมีพลังพิเศษ
ในการรักษา โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ และไขข้อที่เท้าเมื่อโตขึ้น
โดยเชื่อกันว่า ถ้าใช้เท้าเหยียบผู้ป่วยในจุดต่างๆจะทำให้
จุดนั้นหายปวดได้ (คิดดู เล่นๆนะคะว่าถ้าเด็กคนนี้โตขึ้นแล้วหนักประมาณ
90 กิโลล่ะ จะมีใครกล้าให้เค้าเหยียบเพื่อรักษา
รึเปล่านะ?)
3. เชื่อกันว่า คนที่มีฝ่าเท้าแบนราบเป็นคนโชคร้าย และยังจะนำพาความโชคร้ายมาให้คนอื่น
ยิ่งถ้าพบคนที่มีฝ่าเท้าแบน
ในวันจันทร์ จะทำให้โชคร้ายทั้งอาทิตย์
หรือถ้าพบในวันปีใหม่ จะทำให้โชคร้ายทั้งปี (Yumi มีทางแก้ค่ะ
ให้ทุกคนเช็คดูที่
เท้าของตัวเองที่บ้าน ก่อนออกมาร่วมงานปีใหม่
ดีมั้ยคะ? ใครรู้ตัวว่าเท้าแบนก็ไม่ต้องออกจากบ้าน จะได้ไม่ทำให้คนอื่น
โชคร้าย อิ อิ)
4. การเริ่มต้นใหม่ในทุกๆ เรื่อง ควรจะเริ่มด้วยการก้าวเท้าขวา
เชื่อกันว่าจะนำเอาความโชคดีมาตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็น
การเริ่มงานใหม่ การเดินทาง หรือการแต่งงาน
ต้องเริ่มต้นด้วยการก้าวเท้าขวาก่อนเสมอ
5. เชื่อกันว่า อาการคันที่เท้าเป็นการบ่งบอกว่าจะมีการเดินทางไกล
(เอ๊ะ อย่างนี้ช่วงน้ำท่วม คนไทยคงได้เดินทางกัน
วุ่นเลยสิเนี่ย) |
|
 |
|
 |
|
 |
 |
|
 |
ความเชื่อเกี่ยวกับเลือด
ประเทศในแถบยุโรปเค้าเชื่อกันว่า เลือดคือชีวิต
และคือพลังของชีวิต และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เลือดคือที่ๆดวงวิญญาณสถิตอยู่
ด้วยเหตุผลนี้จึงมีความนิยมที่จะใช้เลือดในเวทมนต์คาถาต่างๆเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์
และมีการใช้เลือดในการเซ็นสัญญากับ สิ่งที่ชั่วร้าย หรือซาตาน เป็นการผูกมัดตัวเอง
และเป็นการมอบดวงวิญญาณของตัวเองให้กับซาตาน เพื่อแลกกับสิ่งที่ต้องการ
นอกจากนั้น ยังมีความเชื่อกันว่า เลือดออกหมายถึงความโชคร้ายจะตามมา
(เรื่องนี้ Yumi เห็นด้วย 100% ใครเลือดออกแล้ว โชคดีไม่มีแน่นอนค่ะ)
ยิ่งถ้าเลือดออกในวัน Halloween จะทำให้ชีวิตสั้นลง (โห! ขืนหกล้มวันนั้นก็แย่นะซิ)
เพราะฉะนั้น อะไรก็ ตามที่ทำให้เลือดหยุดได้ ไม่ว่าจะเป็นรากไม้หรือใบไม้
ก็จะถือว่าเป็นสิ่งที่มงคล (แบบนี้สำลี กับพลาสเตอร์ปิดแผลก็คงเป็นสิ่ง
มงคลเหมือนกัน อิ อิ)
ความเชื่อในการห้ามเลือดที่ยังพบเห็นอยู่บ่อยๆในทุกวันนี้
ก็คือการห้ามเลือดกำเดาไหล แต่บางทีเลือดกำเดาก็ไหลกันง่ายๆนะคะ ขืนจะมาปล่อยให้โชคร้ายหรือชีวิตสั้นลงเรื่อยๆก็แย่กันพอดี
จึงมีความเชื่อในการห้ามเลือดกำเดามากมาย และความเชื่อในการแก้ เคล็ดที่ใช้กันบ่อยสุดก็คือ
(1) การโยนกุญแจที่ทำด้วยเหล็กลงบนหลังของคนที่เลือดกำเดาไหล (ก็คงต้องใช้กุญแจลูกเล็กๆหน่อยล่ะค่ะ
ไม่งั้น Yumi ว่าเลือด
กำเดายังไม่ทันหยุดไหล เลือดกลางหลังอาจจะไหลแทรกออกมาซะก่อนน่ะสิ
น่ากลัวจริงๆ)
(2) ตัดพรมมา 1 ชิ้น จุ่มน้ำส้มสายชูให้ชุ่ม นำไปเผา แล้วให้คนที่เลือดกำเดาไหลสูดขี้เถ้าของมันเข้าทางจมูก
(เลือดจะหยุดไหล
หรือคนจะหยุดหายใจกันแน่เนี่ย!)
(3) เอาหนังกบตากแห้งมาห้อยไว้ที่คอ (ถ้าต้องใช้วิธีนี้ Yumi ขอเลือดกำเดาไหลต่อดีกว่า
ไม่ไหว น่ากลัวอีกแล้ว)
P.S. ไม่มีการพิสูจน์จากแพทย์สถาบันไหนนะคะ ว่าการแก้เคล็ดที่ว่าทั้ง
3 ข้อนี้จะช่วยในการแก้เลือดกำเดาไหลได้ผลมาก
แค่ไหน แต่ถ้าใครจะเอาไปลองทำดูก็ควรไตร่ตรองและพิจารณาให้ดีก่อนนะคะ |
 |
|
 |
|
 |
|
ความเชื่อเกี่ยวกับกระดูก
เชื่อกันว่ากระดูกเป็นฐานของร่างกาย จึงมีความสำคัญอย่างสูง
แต่ที่ไม่เหมือนกับเลือดก็คือ ความเชื่อเกี่ยวกับกระดูกจะมีแต่ความเชื่อที่ค่อนข้างจะดี
ส่วนมาก จะเกี่ยวกับการรักษาโรค ซึ่งมักจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับกระดูกโดยตรง
ความเชื่อหลักๆ เกี่ยงกับการรักษาโรคโดยใช้กระดูกที่เชื่อกันเยอะมาก
มีดังนี้ค่ะ
1. เชื่อกันว่า โรคลมบ้าหมูสามารถที่จะรักษาให้ทุเลาหรือหายขาดได้
โดยการกินผงที่บดมาจากกะโหลกศรีษะมนุษย์ หรือดื่มยาจากหัวกระโหลกมนุษย์
(น่ากลัว
อะไรขนาดนี้ กะโหลกใครที่ไหนก็ไม่รู้
ทำไมถึงโดนเอามาบดทำยา หรือโดนเอามาทำเป็นแก้วน้ำง่ายๆ ขออณุญาติเจ้าของกระโหลกก่อนรึเปล่าก็ไม่รู้
บรื๋อ!)
2. เชื่อกันอีกว่า โรคเก๊าท์สามารถรักษาได้โดยใช้ยาพอกที่ผสมจากกระดูกหน้าแข้งของมนุษย์กับดิน
นำมาพอกที่ไขข้อทุกวันจะทำให้หายปวดได้ (เอาอีกแล้ว
กระดูกไขข้อใครอีกแล้วเนี่ย แล้วจะไปหามาจากที่ไหนเยอะแยะกันล่ะ
ไม่ไหว ไม่ไหว)
3. โรคปวดหัวเรื้อรัง หรือปวดหัวข้างเดียว สามารถรักษาให้หายได้โดยตอกตะปูเข้าหัวกะโหลก
ปวดตรงไหนก็ตอกใส่จุดนั้น (ไม่ใช่กะโหลกตัวเราเองนะคะ
อย่าเข้าใจผิด ต้องใช้หัวกระโหลกที่เห็นอยู่ตามในห้องวิทยาศาสตร์
ประมาณนั้น ว่าแต่ว่า อันนั้นมันของปลอม จะต้องไปหาของจริงมาใช้อีกแล้ว
เฮ่อ..)
4. พกกระดูกข้อมือไว้กับตัวจะช่วยป้องกันการเป็นตะคริว (หรืออาจนอนฝันร้ายทุกคืนนะ
Yumi ว่า) |
|
|
 |
|
 |
|
 |
|
 |
 |
คิดๆดูแล้ววิถีชีวิตของคนสมัยก่อนก็น่าทึ่งดีนะคะ
ถึงแม้วิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญก้าวหน้าเหมือนทุกวันนี้ แต่พวกเขาก็มีวิธีที่
จะต่อสู้กับโรคร้ายด้วยวิธีการเหนือธรรมชาติต่างๆ เข้าท่าบ้าง ไม่เข้าท่าบ้าง
แต่ก็นี่แหละค่ะ คือมนุษย์ ต้องลองผิดลองถูก มาตั้งหลายพันปี กว่าจะมาถึงวันนี้ได้
เอาล่ะค่ะ ฉบับหน้ายังจะมีความเชื่อแปลกประหลาดที่เกี่ยวกับอวัยวะอีก
1 ตอน ฉบับนี้พอแค่นี้ก่อน Yumi คงต้องไปแล้วค่ะ ตอนนี้รู้สึกปวดหัวนิดๆ
คงต้องไปหาหัวกะโหลกผู้โชคร้ายมารักษาซะหน่อยแล้ว |
|